พักเคลื่อนไหวเรื่องทางการเมือง..เพราะวันนี้นักการเมืองคนดัง ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะมาเป็นแขกรับเชิญ เปิดเรื่องราวชีวิตที่ไม่ค่อยมีใครเคยรู้ผ่านรายการ ตีสิบเดย์ ที่มี วิทวัจน์ สุนทรวิเนตร์ และ แพท ณปภา เป็นพิธีกร ซึ่งหากพูดถึงเรื่องราวในช่วงวัยรุ่นของทิม พิธา หลายคนคงเคยเห็นรอยสักบริเวณแขนและหลัง แต่รู้หรือไม่ว่าคุณพิธายังมีอีกหนึ่งรอยสักที่หาดูได้ยากอยู่บริเวณเท้า ซึ่งเจ้าตัวได้เผยให้เห็นกันชัดๆ ผ่านรายการ พร้อมเล่าถึงที่มาที่ไปรอยสักดังกล่าวว่า เป็นรอยแรกที่สักเมื่อ 30 ปีก่อน สักที่ประเทศนิวซีแลนด์เป็นที่เจ็บที่สุด ในส่วนความหมาย เวลาจะไปออกรบ หรือเวลาที่เกี่ยวข้องกับชัยชนะ
รอยสักทั้งหมดมีเพียง 3 ที่ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้สักเพิ่มอีก เพราะคุณแม่คุณพ่อไม่ปลื้ม และพอโตขึ้นลูกสาว น้องพิพิม ก็บอกว่าไม่สวย ซึ่งคิดว่าในอนาคตถ้าจะสักเพิ่มคงต้องขอลูกก่อน
ใครจะไปเชื่อว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือ ทิม หนุ่มหล่อในวงการนักธุรกิจ ที่ตอนนี้หันมาเอาดีทางด้านการเมืองที่ทั้งดูดี และเรียนเก่งสุดๆ จนได้เป็นนักเรียนทุนคนแรกจากไทยที่ฮาร์วาร์ด คนนี้ สมัยเด็กเขาเคยเป็นคนเกเรมาก่อน ซึ่งเกเรมากๆ จนถึงขนาดพ่อของเขาถึงกับต้องส่งตัวของเขาให้ไปเรียนที่ต่างประเทศกันเลยทีเดียว เราก็เลยจะนำเสนอเรื่องราวในวัยเด็ก ตลอดถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากเด็กเกเรเป็นเด็กเรียนจนเรียนจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง รวมไปถึงได้เป็นนักเรียนทุนคนแรกจากไทยที่ฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยระดับโลก ของ ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ให้ได้อ่านกันซะหน่อย บอกเลยว่าชีวิตของเขานั้นเรียกว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวเขาเผยว่าเขาไม่ใช่เด็ก เก่ง เด็กฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาเป็นคนเกเรมากในตอนเด็ก ทั้งมีเรื่องชกต่อย สูบบุหรี่ มีเรื่องมากมายจนทำให้พ่อของเขาต้องส่งไปเรียนหนังสือที่นิวซีแลนด์ จึงทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทั้งต้องหาเงินใช้เองจากการทำงานพิเศษหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ ส่งนม ทำงานพาร์ทไทม์มากมาย จนทำให้เขาเปลี่ยนตัวเองทั้งด้านความคิดได้อย่างดี
ทิม พิธา ยังบอกอีกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่เป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก นั้นการเรียนการศึกษาแทบจะไม่ต่างจากการเรียนในประเทศไทยเลย ส่วนสิ่งที่ต่างกกันก็คือ คุณภาพของนักศึกษาและคุณภาพการสอน โดยครูที่นั่นจะเน้นการถามนักศึกษา ไม่ใช่พูดๆ ไปเรื่อยๆ ให้นักศึกษาจด จึงทำให้นักศึกษามีส่วนร่วมในห้องเรียนได้มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นนักเรียนที่เรียนดี และมีความสามารถมากๆ โดยหลังจากนั้นเขาก็ศึกษาต่อที่ Massachusetts Institute of Technology (M.I.T.) ซึ่งเป็น มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมานานในเรื่องงานวิจัยและการศึกษาในสาขาเคมี ฟิสิกส์ และวิศวกรรมศาสตร์สาขาต่างๆ ระดับโลก